พิฆาตไขมันฯ

พิฆาตไขมัน สัปดาห์ละครึ่งกิโล
วิธีการลดน้ำหนัก พิชิตไขมัน ยังถูกถามเข้ามาทางอีเมล์ ไม่ขาดสาย มีนำเคล็ดลับการลดน้ำหนักจาก โรงพยาบาลระดับ 5 ดาว อย่างเมโยคลินิกมาฝากค่ะ เมโยคลินิกเป็นโรงพยาบาลระดับ 5 ดาว ในสหรัฐอเมริกาอันลือชื่อทั่วโลก ข้อมูลข่าวสารจากสถานพยาบาลแห่งนี้จึงเป็นที่นิยมเชื่อถือไปด้วย ข้อแนะนำจากคลินิกแห่งนี้ในการลดน้ำหนักลงครึ่งกิโลกรัม คือหาทางเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้หมดไป 3,500 แคลอรี่ ดังนั้นเคล็ดลับอยู่ที่การประยุกต์อาหารที่ท่านผู้อ่านรับประทานในแต่ละวันร่วมกับการออกกำลังกายแล้วสามารถลดหรือใช้พลังงานไปวันละ 500 แคลอรี่ ก็จะทำให้ท่านลดน้ำหนักลงได้ ครึ่งกิโลกรัมต่อ 1 สัปดาห์ ลองมาดูซิว่าจะกำจัดเจ้าไขมันส่วนเกิน ให้อันตรธานไปได้อย่างไร
1. รับประทานอาหารให้น้อยลง เช่น เคยกินข้าวมื้อละ 5 จาน ก็ลดลงมาเป็น 2-3 จาน
2. เลือกวิธีปรุงอาหารที่ต้องด้วยสุขภาพ วิธีปรุงอาหารช่วยลดแคลอรี่ได้ตั้งแต่ 100-300 แคลอรี่ เช่น เปลี่ยนไปใช้วิธีอบ ย่าง หรือปิ้ง ต้ม นึ่ง แทนการทอดด้วยเนยหรือน้ำมัน รวมทั้งอาหารชุบแป้ง เป็นต้น
3. เพิ่มกิจกรรม ในแต่ละวันเพิ่มกิจกรรมที่ทำให้ได้ใช้กำลังกาย ตัวอย่างกิจกรรมที่จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 150 แคลอรี่ คือ
- ทำสวนเป็นเวลา 30-45 นาที
- เดินระยะทาง 3.2 กิโลเมตร ใน 30 นาที
- ขี่จักรยาน 8 กิโลเมตร ใน 30 นาที
- ล้างทำความสะอาดรถยนต์ และลงแวกซ์ 45-60 นาที
ลองสังเกตดูจะเห็นว่าการที่คนเราพยายามลดน้ำหนักลงแม้เพียงครึ่งกิโลกรัมก็ยากเย็นแสนเข็น แต่เวลาจะปล่อยให้น้ำหนักขึ้นกลับง่ายนิดเดียว คือ รับประทานอาหารตามใจชอบไม่เพียงวัน 2 วัน ก็เป็นเรื่องเลย จุดใหญ่ใจความจึงอยู่ที่การทำใจแข็งเข้าไว้ อย่ายอมแพ้กิเลสที่ครอบงำเราอยู่ทุกวัน
ที่มา: fw mail

ประโยชน์ของเกลือ

ทราบหรือไม่ว่า เกลือก็สามารถทำให้สวยได้ วันนี้มี 5 สูตรสวยด้วยเกลือมาฝากกัน...

1. ลดรอยช้ำรอบดวงตาผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำร้อนครึ่งถ้วย จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือมาปิดตาไว้สัก 5-10 นาที รอยช้ำรอบดวงตาจะค่อยๆจางลง

2. หน้ามันน้อยลงใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนพอหมาดมาปิดหน้าไว้สัก 3-5 นาที เพื่อช่วยเปิดรูขุมขนก่อน ต่อจากนั้นใส่น้ำลงในขวดสเปรย์ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนชา เขย่า ให้เกลือละลายแล้วฉีดเกลือใส่หน้าให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง
3. เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวผสมเกลือ 1/2 ถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเช็ดตัวให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวซ้ำ เกลือจะช่วยให้ผิวชุ่มชื่นยิ่งขึ้น

4. ขัดผิวให้สวยใสโดยใช้เกลือผงถูตัวแล้วใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูขัดตัวให้ทั่วช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกมา ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายด้วย

5. ผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าที่เท้าผสมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่น นั่งแช่เท้าประมาณ 30 นาที วิธีนี้เหมาะกับคนที่เดินนาน ๆ รวมทั้งสาว ๆ ที่ต้องใส่ส้นสูงตลอดวัน
รู้อย่างนี้แล้ว ลองนำเกลือมาทำตามวิธีที่แนะนำกันดูได้.
เชื่อไหมว่าเรามียาดีประจำบ้านกันทุกคน ก็เกลือที่อยู่ในครัวนี่เอง...


1. ไอเพราะเป็นหวัดแค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว

2. มึนหัว สมองไม่แล่นสาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้ปรู๊ดปร๊าด เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลงไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง

3. เร่งให้อาเจียนถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ

4. คัดจมูกจะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที

5. คันตามผิวหนังทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์

6. โรคตาแดงโรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง

7. แผลยุงกัดถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็วด้วย

ที่มา ... fw mail





ขมิ้นลดริ้วรอยใบหน้า


ใบหน้าอ่อนเยาว์ฯ

ส่วนผสม

-ขมิ้นผง

-น้ำผึ้ง
วิธีทำ

1. ล้างหน้าให้สะอาดตามวิธีของคุณเอง
2. นำขมิ้นผงพอสมควรผสมกับน้ำผึ้ง ใช้นวดหน้าทำได้ทุกวันเท่านี้หน้าคุณริ้วรอยต่างๆ ลดน้อยลง ใบหน้าจะใสสะอาดโดนแดดก็ไม่กร้าน
ข้อสำคัญ ขมิ้นนั้นแนะนำให้ซื้อขมิ้นผงที่ขายในsupermaket เพราะได้ผ่านการฆ่าเชื้อรา สะอาดและสามารถเก็บใช้ได้นาน

ที่มา: google.com

กินแล้วอ่อนเยาว์


ทราบหรือไม่ว่า รับประทานอะไรแล้วอ่อนเยาว์ วันนี้เรามีมาฝาก




1.หยุดผมร่วง รับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี มีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี การรับประทาน กล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน

2. ลดผิวมัน รับประทานธัญญาหารทุกเช้า ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน

3. หยุดการลอกของผิวหนัง รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักสดก็ได้

4. ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก รับประทานมะม่วง มีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้าง ผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียน

5. ชะลอผมหงอก รับประทานถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร ถั่วลิสงมี วิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย

6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี รับประทานฝรั่ง หรือน้ำฝรั่งซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี เพราะจะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับ ผลไม้ประจำวันก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีเช่นกัน

7. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความ ต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษ รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากแลดูอ่อนเยาว์ ก็ควรเลือกรับประทานให้เหมาะสม.



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ลดน้ำหนักด้วยวิธีไหน?


ลดน้ำหนักด้วยวิธีไหน? เจ๊งกว่ากัน

ผลการวิจัยระบุว่า ความสำเร็จของโปรแกรมลดน้ำหนักในระยะยาวส่วนใหญ่ต้องอาศัยการออกกำลังกายเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะในความเป็นจริงคนที่อดอาหารเพียงอย่างเดียว แม้น้ำหนักจะลด แต่วันหนึ่งคนเหล่านั้นก็จะกลับมาอ้วนอีก หรือบางครั้งอาจจะอ้วนกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้างั้นวิธีที่ดีที่สุด คืออะไรวันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" จะชวนคุณไปสู่ทางเลือกใหม่ เพื่อการลดน้ำหนักที่เห็นผล ที่นอกจากจะรวดเร็วแล้วยังช่วยให้คุณมีสุขภาพดีอีกด้วย และนี่คือ 4 เหตุผลว่าทำไมคุณจึงควรออกกำลังกายไปควบคู่กับการอดอาหาร


1.การออกกำลังกายช่วยเสริมการทำงานในระบบเมตตาบอลิซึ่มของคุณการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการออกกำลังกาย จะช่วยเปลี่ยนแปลงพลังงานหรือเพิ่มระสิทธิภาพในการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของคุณให้สมดุล

2.หลักการเผาผลาญพลังงานตามสูตรแล้ว ไขมัน1ปอนด์ เท่ากับ 3,500 แคลลอรี่ ซึ่งตามปกติร่างกายของคุณสามารถกำจัดแคลลอรี่ได้วันละ 500 แคล ดังนั้นหากคุณต้องการลดไขมันในร่างกาย 1 ปอนด์ หมายความว่าคุณต้องใช้เวลา 1 สัปดาห์ด้วยกัน ดังนั้นเพื่อย่นเวลาการเผาผลาญ จะดีกว่ามั้ย ถ้าคุณจะช่วยร่างกายกำจัดแคลลอรี่ด้วยการออกกำลังกายไปควบคู่กัน ที่สำคัญการควบคุมอาหารยังทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพลดลง

3.การทำกิจกรรมหนึ่งจะส่งผลให้เกิดการทำกิจกรรมที่มากขึ้นไปอีกจากผลการวิจัยระบุว่า คนที่ออกกำลังกายจะทำให้คนนั้นกระฉับกระเฉงไปตลอดทั้งวัน

4. การออกกำลังกายช่วยสร้างกล้ามเนื้อคุณสามารถเพิ่มจำนวนและขนาดของกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกาย ทั้งนี้บางครั้งเรายังได้รับไฟเบอร์จากอาหารเพื่อใช้ในการสร้างกล้ามเนื้อ และเพื่อที่จะให้ไฟเบอร์ในกล้ามเนื้อได้รับการหล่อเลี้ยง ร่างกายจะไปดึงแคลลอรี่จากไขมันที้เก็บไว้ในร่างกาย ดังนั้นถ้าคุณต้องการให้ร่างกายเผาผลาญไขมันมากขึ้น คุณก็ต้องใช้พลังงานมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ แคลลอรี่ในร่างกายของคุณก็จะถูกเผาผลาญมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าน้ำหนักตัวของคุณจะลดลงได้เร็วขึ้น

ผลไม้ล้างพิษฯ


กินผลไม้ ล้างพิษ กันเถอะ
ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทาน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ และวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ


แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ


องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย


สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก


มะละกอ มะม่วง แตงโม : มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน


ผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วย อย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ


ข้อมูลจาก fw Mail

10วิธีง่ายๆลดความโกรธ


1. หลีกเลี่ยง "การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้ามวิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่างหาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน - กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่าไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้

2. ระบาย นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง

3. กิน มีใครจะปฏิเสธบ้างว่าการกินคือ วิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน

4. ดื่ม โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน

5. หัวเราะ มีหลายอย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)

6. ร้องไห้ การร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไงหรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ

7. ร้องเพลง เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป. 1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง

8. พักผ่อน หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน

9. นอนหลับ เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือ สัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน

10. ให้อภัย ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊กพระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือ การปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัยเลยละ

มาจาก : Mail fw

อารมร์ เริม ความเครียด


แพทย์เตือนคนเครียดเสี่ยงเซลล์มะเร็งเพิ่ม-เป็นเริม


ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้เร็วขึ้น ติดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ...? วันนี้ (25 เม.ย.) นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการใช้หลักสมาธิบำบัคลดโรคช่วงหน้าร้อน ว่า หน้าร้อนปีนี้ร้อนมาก คนส่วนใหญ่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายจากสภาวะสิ่งแวดล้อม และมักเป็นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ด้านลบ เพราะความร้อนส่งผลให้อารมณ์เกิดภาวะเครียด หงุดหงิด นอนไม่หลับ ไม่สบายตัว บางครั้งจะเกิดอารมณ์โกรธกันได้ง่ายๆ การทำสมาธิเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบำบัดความเครียดและอารมณ์ที่ร้อนกว่าปกติ ได้?? อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวด้วยว่า จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้เร็วขึ้น ติดเชื้อไวรัสได้เร็วขึ้น เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ เป็นเหตุกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้อาการเบาหวานและโรคหอบหืดเลวลง เกิดลำไส้อักเสบ เซลล์สมองเสื่อมลงความจำเสื่อมลง นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่มีภาวะเครียดมักจะเกิดเริมที่ริมฝีปากและอวัยวะเพศ บ่อย ๆ คนที่โกรธมาก ขนาดของเส้นเลือดก็จะตีบมากด้วยเช่นกัน ล้วนเป็นผลร้ายทั้งสิ้นในทางตรงกันข้ามคนที่มีอารมณ์ดี ร่าเริง มีความสุขมีเสียงหัวเราะบ่อย ๆ มีจิตเมตตา จะมีเซลล์ของภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งการทำสมาธิจะช่วยได้มาก สนใจข้อมูลติดต่อสำนักงานการแพทย์ทางเลือก http://www.dtam.moph.go.th/
copy : thairath

ขณะท้องว่างไม่ควรทาน!



สิ่งที่ไม่ควรทานขณะท้องว่างอาหารบางชนิดไม่ควรทานขณะท้องว่างเพราะอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ วันนี้เรามีอาหารที่ไม่ควรทานขณะท้องว่างมาบอก...

- กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง
- ผัก การทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ- นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย ดังนั้นในขณะที่ท้องว่างจึงไม่ควรทาน

- เหล้า หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

-น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
- ชา ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ
- ลูกพลับ ไม่ควรทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
รู้อย่างนี้แล้ว เลือกทานอาหารให้ถูกที่ถูกเวลาจะดีกว่า.


ไฟเบอร์(Fiber)



ไฟเบอร์(Fiber) กับการ ลดน้ำหนัก
เส้นใยอาหาร (Fiber) คืออะไร

เส้นใยอาหาร คือส่วนของโครงสร้างของพืช เช่น กิ่ง ก้าน เมล็ด เป็นส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเซลลูโลส ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ และ ไฟเบอร์ ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ไฟเบอร์ เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานใดๆ ถึงแม้ว่าโครงสร้างจะเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งก็ตาม เมื่อเรารับประทาน ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานเข้าไปในร่างกาย มันจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป เราสามารถลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ลดน้ำหนักได้



แหล่งอาหารที่จะได้รับไฟเบอร์

เราสามารถได้จากพวกธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ำผลไม้) ผลส้มแขก เมล็ดแมงลัก
ไฟเบอร์กับการลดความอ้วน
1. ไฟเบอร์ ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นและมีเวลาอยู่ในระบบทางเดินอาหารสั้นลง จึงช่วยลดการดูดซึม
2. ไฟเบอร์ ไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลดความอยากอาหารและรับประทานอาหารได้น้อยลง หากใช้ร่วมกับการควบคุมชนิดและปริมาณอาหาร และออกกำลังกายร่วมด้วยจะยิ่งให้ผลดีในการ ลดน้ำหนัก
3. จากหลาย ๆ การทดลองพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี ไฟเบอร์ อย่างน้อย 2 กรัมขึ้นไปช่วยให้น้ำหนักลดลงได้
หากไม่แน่ใจว่าจะสามารถรับประทาน ไฟเบอร์ ได้อย่างเพียงพอ ก็ควรจะรับประทานในรูปของ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และในการรับประทาน ไฟเบอร์ ก็ควรที่จะรับประทานน้ำให้มากอย่างเพียงพอในแต่ละวันด้วย
แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ไฟเบอร์ ไม่ใช่ยาระบาย ที่จะช่วยระบายของเสีย ดังนั้นหากท่านต้องการระบายโดยไม่ได้ต้องการคุณประโยชน์อื่นๆ ของ ไฟเบอร์ ก็น่าจะใช้ยาระบายน่าจะเหมาะสมกว่า

ประโยชน์อื่นๆ ของไฟเบอร์
ผลต่อ คลอเลสเทอรอล และ โรคหัวใจ
จากหลายๆการศึกษาวิจัยพบว่า ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้เท่านั้นที่สามารถช่วยลดปริมาณ คลอเลสเทอรอล ได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะรับประทานแทนยารักษาได้ และยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดเช่นกัน อย่างไรก็ตามไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจ

ผลต่อโรค เบาหวาน
นอกจากนี้ยังมีงานวิจับพบอีกว่า ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้จะช่วยในด้านการลดระดับน้ำตาลในเลือด จนสามารถช่วยลดการใช้ปริมาณอินซูลินในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และยังค้นพบอีกว่าคนที่รับประทาน ไฟเบอร์มากๆ จะช่วยลดโอกาสการเป็น เบาหวาน

ผลต่ออาการท้องผูก-มะเร็งลำไส้
การรับประทาน ไฟเบอร์ ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ช่วยให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ ลดโอกาสดููดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญมันช่วยลดโอกาสในการเกิดโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเช่นกัน

ข้อควรระวัง
ในรายที่เป็นโรคขาดสารอาหารหรือวิตามิน หรืออยู่ในระหว่างรับประทานยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน

ที่มา
http://www.healthcorners.com

อาหาร- ลำไส้ -สิว

การล้างลำไส้ทำให้อาการสิวดีขึ้น


5.รับประทานผักผลไม้สด ผักสด - - ยกเว้นข้าวโพด ซึ่งอาจเป็นอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ อาหารที่ดีต่อโปรแกรมทำความสะอาดลำไส้คือ บร๊อคโคลี่, ดอกกะหล่ำ, หอมใหญ่, กระเทียม, ผักกาดหัว, ผักสีเขียวและสีแดง อาหารที่รับประทานนั้นควรเป็นผักและผลไม้ในสัดส่วนที่ 40% ของมื้ออาหารข้าว - - ข้าวนั้นย่อยได้ง่าย เลือกเป็นข้าวกล้องจะดีกว่าข้าวขาว ถั่ว - - ถั่วเขียวและถั่วเหลืองนั้นย่อยได้ง่ายและใช้เวลาน้อยกว่า ถั่วแดงและถั่วอื่น ๆ ผลไม้เปลือกแข็ง - - ถั่วเปลือกแข็งแบบไม่เค็ม ปลา - - ต้ม, ปิ้ง, นึ่ง เพิ่มเติม - - น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์, น้ำมันเมล็ดองุ่น ชาสมุนไพร - - ชาที่ไม่มีคาเฟอีน ยกเว้นชาเขียว น้ำเปล่า, น้ำมะนาว, น้ำผลไม้, น้ำนมข้าว

อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยง น้ำตาล - - น้ำตาลที่ผ่านกรรมวิธี และเครื่องปรุงที่ผสมน้ำตาลผ่านกรรมวิธีเช่นซูโครส, เด็กซ์โตรส, คอร์นไซรัป, น้ำตาลทรายแดง

และหลีกเลี่ยงสารให้ความหวาน ผลิตภัณฑ์จากนม - - นม, ไข่, เนย และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากนม ข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์ที่ผสมข้าวสาลี ข้าวโพด - - ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวโพด ยีสต์ คาเฟอีน - - กาแฟ, ทั้งแบบปกติและแบบปราศจากคาเฟอีน, ชาดำ, ชาเขียว และเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เนื้อแดง – แอลกอฮอล์ – สารปรุงแต่งอาหาร, สารกันเสีย – ช๊อคโกแลต - อาหารที่มีไขมันสูง

6.น้ำซุปผัก มีส่วนประกอบของแร่ธาติต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อ ให้ดื่มวันละ 2 ถ้วย

7. น้ำดื่ม การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อรับประทาน psyllium, activated charcoal หรือโคลน bentonite ให้ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-12 แก้ว ในการคำนวณปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไปต่อวันนั้น อย่าลืมคำนวณชาสมุนไพร และน้ำซุปผักเข้าไปด้วย

8.การอาบน้ำร้อนสลับเย็น เป็นการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด, เพิ่มการขับสารพิษ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยนำสารอาหาร, ออกซิเจน และและเซลล์คุ้มกัน เพื่อขจัดเนื้อเยื่อที่เกิดจากความเครียดออกไป โดยการเผาผลาญขยะเหล่านี้ เริ่มจากการอาบน้ำร้อนเป็นเวลา 3 นาที แล้วตามด้วยน้ำเย็นไม่เกินหนึ่งนาที เริ่มกระบวนการนี้ทั้งหมดอีกหนึ่งรอบ และทุกครั้งที่จบให้จบด้วยน้ำเย็น (เช่น น้ำร้อน 3 นาที – น้ำเย็น 1 นาที – น้ำร้อน 3 นาที – น้ำเย็น 1 นาที)


คลิกที่นี่: เพื่ออ่านต่อ 1-4 จ้ะ

(อ๋อ.ที่ไม่ได้เอามาใส่ไว้ในบล็อคนี้เพราะบทความมันยาว และเป็นชื่อศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย)


copy จาก เว็บ sanook.com
Reference- altmedicine.about.com- steadyhealth.comแปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

Water

9 วิธีให้คุณหันมาดื่มน้ำมากขึ้น

1.ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะการดื่มน้ำตอนทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอด ทั้งวัน



2. บีบน้ำมะนาวใส่นิดๆ หากคุณรู้สึกยี้กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่มเพื่อช่วยเพิ่ม รสชาติให้กับน้ำ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่มักใช้วิธีนี้ พบว่าได้ผล และ สำหรับใครที่ต้องออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สะดวก เพราะที่ผ่านมาผู้เขียนก็มักขอให้พนักงานเสิรฟนำมะนาวชิ้นบางๆมาเสริฟให้ พร้อมน้ำเปล่า ซึ่งแม้จะดูเป็นการเรื่องมากไปซักนิด แต่ภัตตาคารส่วนใหญ่ก็ยินดีจะเพิ่มบริการนี้ให้

3.ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมอนเป็นดัชนีวัดว่าร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ

4.คิดดูซิว่าคุณจะน่ารักขนาดไหน? "ฉันไม่รู้ว่าการดื่มน้ำมากๆจะมีผลโดยตรงอย่างไรต่อระบบการหมุนเวียนของ โลหิตและการมีสุขภาพผิวดี เปล่งปลั่ง แต่ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มน้ำ ตราบเท่าที่ฉันคิดว่าน้ำจะช่วยให้ฉันมีผิวที่ดี ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิง"

5. ถ้่าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่นๆซักแก้วไว้ที่มืออาจช่วยให้คุณลดอารมณ์ เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณในรูปของ ปัสสาวะ

6.ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บางครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอกๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง

7.เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่ายๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยน พฤติกรรมการดื่มน้ำได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น

8. ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น

9.หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะ มันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อนๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง

ที่มา : By Yumi Sakugawa for Intent.com (copy จากไทยรัฐ)

Stay looking young


29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์ เพื่อสุขภาพ
คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้!! อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ... สดใสดูอ่อนกว่าวัย stay looking youngเพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู


2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก


3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆแล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว


4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ


5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค


6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้


7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย


8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเ***่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้วยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี


9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว stay feeling young

10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรียล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน


12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ


13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง


14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย


16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย


17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้


18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบาแข็งแรงได้ใจ stay healthy!

จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ


19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี


20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)


21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม


22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ


23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา


24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว


25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง


26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ


27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้นสามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี


28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง


29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว


ที่มา mail fwd (copy จากเว็บคู่สร้างคู่สมค่ะ)

เพิ่มพลังสมองยามเช้า

3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า

อาหารเช้าสำคัญต่อสมองมากกว่ามื้อไหนๆ ทีมนักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่าทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย

สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน



สูตรที่ 2 โยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่างๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน





สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสดส่วนผสมหลักๆ บอกไปแล้ว ส่วนใครจะมีเคล็ดลับอะไร ก็สามารถเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ อร่อยกันแล้ว อย่าลืมเพิ่มพลังสมองอีกทางด้วยการออกกำลังกายนะคะ
ที่มา : นิตยสารชีวจิต

ใครนอนไม่หลับฯ


ใครนอนไม่หลับมาเป็นเวลานาน ยกมือขึ้น!!
เพราะครั้งนี้ทีมงานไ้ด้นำเคล็ดลับดีๆมาฝากกันเกี่ยวกับคนที่นอนไม่ค่อยจะหลับไม่ว่าจะพยายามข่มตาหลับสักเพียงใดก็ตาม ทั้งนี้ 9เคล็ดลับต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ทำตามได้ไม่ยากเย็น และยังทำให้สุขภาพที่อ่อนล้าได้กลับมาฟื้นฟู ดูดีมีชีวิตชีวากลับมาอีกครั้งหนึ่งด้วย
เริ่มด้วยวิธีแรกโดยการนอนและตื่นให้ตรงเวลา กล่าวคือ คุณต้องเข้านอนและตื่นให้ตรงเวลาทุกวัน เพื่อให้นาฬิกาเวลาของคุณทำงานได้ดี และไม่อ่อนล้าจากการนอนไม่เพียงพออีกต่อไป
ประการที่สองคือ คุณควรทำให้ห้องนอนเป็นสถานที่พักผ่อน ไม่ใช่ศูนย์กลางเครื่องมือสื่อสาร คุณต้องเข้านอนทันทีเมื่อรู้สึกง่วงจริงๆ ในขณะที่สารพัดเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เช่น โทรทัศน์, อินเตอร์เน็ต, โทรศัพท์ ควรไว้ข้างนอกห้องนอนเสมอ (ถ้าทำได้) แต่หากใครโทรมายามดึก คุณก็ควรบอกให้เขาทราบว่า “คุณนอนแล้ว”และไม่ควรนอนดูโทรทัศน์ เพราะการนอนดูโทรทัศน์ จะทำให้คอเอียง ไม่ตรง และเกร็งเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้คุณปวดคอ กระดูกคอเสื่อม หรือเวียนหัวจากการที่กระดูกคอเสื่อมไปกดเส้นเลือดได้
ถัดมาคือการไม่นอนตอนกลางวัน เพราะการนอนหลับกลางวันอาจทำให้ในช่วงกลางคืนนั้นตาสว่างมากขึ้น นอนไม่ลับ และช่วงเวลานอนก็จะสั้นและตื่นได้ง่ายขึ้นเมื่อมีเสียงรบกวน
เสียงดนตรี มีชีวิต แม้ว่าการนอนในห้องที่เงียบเป็นการดีที่สุด แต่ถ้ารอบๆ ห้องของคุณมีเสียงรบกวน การใช้เสียงที่นิ่ง หรือเสียงที่ดังเรื่อยๆ (ไม่เบาบ้างดังบ้างเป็นพักๆ) เช่น พัดลม เพลงประเภทเรื่อยๆ มาเรียงๆ เช่น เพลงคลาสสิค เป็นต้น อาจช่วยกลบเสียงรบกวนได้
โบกมือลาขาดจากคาเฟอีนและแอลกอฮอลล์ คือขั้นตอนถัดมาที่ควรทำตามเพราะคนที่นอนหลับยากควรงดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา ชาเขียว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง โกโก้ ชอคโกแล็ต โอวัลติน ไมโล เป็นต้น หลังเที่ยงวัน นอกจากนั้นควรงดแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ เป็นต้น หลังพระอาทิตย์ตกดิน แม้ว่าแอลกอฮอล์ทำให้หลับได้ง่ายก็จริง แต่ทำให้คุณภาพของการหลับลดลง คือ หลับตื้น และตื่นง่าย แถมยังทำให้คนที่นอนกรน กรนดังขึ้นด้วย
ทางที่ดีที่สุด หากงดการทานหรื่อดื่มอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอลล์เป็นเรื่องดีที่สุดค่ะ


หรี่ไฟกลางคืนและปิดไฟก่อนนอน สำหรับคนที่นอนหลับยากควรลดแสงให้มืดลงตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน กลางคืนอย่าเปิดไฟจ้า ควรหรี่ไฟรอบๆ รวมทั้งไฟหน้าจอทีวี, จอคอมพิวเตอร์ (ถ้าใช้) ให้มืดก่อนเวลานอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จัดห้องนอนให้มืด ปิดไฟนอน หาผ้าม่านหรือแผ่นปิดตามาบังแสงไฟเท่าที่จะทำได้ ถ้าตื่นก่อนเวลา… พยายามอย่าเปิดไฟจ้า เพื่อไม่ให้นาฬิกาเวลาของร่างกายสับสน รอจนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจึงเปิดไฟเต็มที่ และหลังพระอาทิตย์ขึ้น… อย่าลืมออกไปรับแดดอ่อนตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อให้นาฬิกาเวลารับรู้เวลากลางวันได้ดี
ประการต่อมาคือ นมอุ่นๆ ก่อนนอนสักแก้วเพราะนมไขมันต่ำ นมไม่มีไขมัน หรือนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมอุ่นๆ ประมาณ 1/2 แก้ว แล้วบ้วนปากหลายๆ ครั้งอาจช่วยให้หลับสบายขึ้น ซึ่งกลไกที่เป็นไปได้คือ เครื่องดื่มอุ่นๆ อาจทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้นเล็ก�= ��้อยชั่วคราว หลังจากนั้นจะลดลง และทำให้รู้สึกง่วงและอีกกลไกหนึ่งคือ น้ำตาลเล็กน้อยในนมอาจทำให้ร่างกายสร้างสารซีโรโทนิน ทำให้ง่วงได้
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เช็คยาที่คุณใช้ เพราะยาบางอย่าง เช่น ยาลดน้ำมูก เป็นต้น อาจออกฤทธิ์กระตุ้นเล็กน้อย ทำให้หลับยาก ควรปรึกษาหมอหรือเภสัชกร เพื่อหลีกเลี่ยงยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นช่วงก่อนนอน
และประการสุดท้ายคือ อย่าใช้ยาด้วยตัวเอง ปัจจุบันนี้หลายคนมักนิยมรับประทานยานอนหลับเป็นส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากนอนไม่หลับ คุณควรปรึกษาหมอหรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เนื่องจากยานอนหลับ หรือยาบางชนิดที่ทำให้ง่วงอาจทำให้ง่วงนอนไปถึงตอนกลางวัน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานแย่ลง แถมยังเสี่ยงอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นด้วย


ทั้งหมดนี้คือ 9 ข้อแนะนำดีๆที่ทำให้คนที่นอนไม่หลับได้เฮกันค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Intelihealth

6 ขั้น สู่การมีอายุยืน


แนะเลี่ยงบุหรี่-ของมึนเมา ดูแลสุขภาพสม่ำเสมอ


มีปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยให้อายุยืนและอยู่อย่างมีสุขภาพดี โดยไม่ทำให้ลูกหลานต้องเดือดร้อนมากจนเกินไป ซึ่งพอจะสรุปเป็นแนวทางการปฏิบัติโดยย่อ 6 ขั้นตอน ดังนี้


1. ให้พลังงานแก่ร่างกายตามที่ต้องการให้เพียงพอ อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จำเป็นเพื่อความแข็งแรงและการมีสุขภาพดี อาหาร หากกินมากหรือน้อยเกินไปก็ทำให้เกิดโรคได้ ตัวอย่างแนวทางปฏิบัติ เช่น กินข้าวเป็นหลัก กินผัก ผลไม้ ในปริมาณที่รองลงมา กินเนื้อสัตว์ต่างๆ นม ถั่วเมล็ดแห้งเพื่อให้ได้โปรตีนที่มีคุณภาพ กินน้ำมัน น้ำตาล เกลือ เท่าที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย
2. ทำตัวให้กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา การออกกำลังกายหรือทำตัวให้มีการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ทำให้อายุยืนมีชีวิตที่สดใสร่างกายแข็งแรง กระดูกแข็งแรง ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ฯลฯ พยายามออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละประมาณ 30 นาที
3. รักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้อยู่ในภาวะที่ดี ซึ่งสามารถทำได้โดยลดความเครียด หาเวลาทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน นอนหลับให้เพียงพอ พยายามขอความช่วยเหลือจากญาติมิตรเมื่อเกิดความซึมเศร้า
4. หลีกเลี่ยงบุหรี่ ยาเสพติดและแอลกอฮอล์ บุหรี่และยาเสพติดทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง การดื่มสุรามากเกินไปเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้เป็นโรคตับแข็ง หากเมาแล้วขับก็จะเกิดอุบัติเหตุได้
5. ฝึกนิสัยที่ทำให้ชีวิตปลอดภัย ท่านทราบหรือไม่ว่า อุบัติเหตุคร่าชีวิตคนมากเป็นอันดับต้น ๆ ของการตาย หากขับรถก็ไม่ควรประมาท ควรรัดเข็มขัดนิรภัยและไม่ขับเร็วจนเกินไป ควรล้างมือให้สะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ฯลฯ
6. ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เช่น เข้ารับการตรวจสุขภาพปีละ 1 - 2 ครั้ง หลายคนคิดว่าเราควรไปพบแพทย์เมื่อเราเจ็บป่วยเท่านั้น ความจริงเราควรหาวิธีป้องกันเพื่อมิให้เจ็บป่วยมากกว่า


ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

การปัสสาวะให้ปกติ


ทราบหรือไม่ว่า การขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่ดีนั้นทำอย่างไร วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...- อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ- เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้- ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา- ไม่ควรบังคับให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง- ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้- อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง- เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้- เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด- ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ- ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ- น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์- การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์- ทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วันถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตรายต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วนรู้อย่างนี้แล้ว ควรขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นปกติเพื่อสุขภาพที่

สิวบอกสุขภาพ

ตำแหน่ง "สิว" บอกสุขภาพสิวผุดขึ้นมาแต่ละเม็ด แต่ละเม็ด ก็ทำให้หนุ่มสาวหน้าใสที่ห่วงสวยห่วงหล่อแทบคลั่ง วิ่งหาวิธี Delete สิวออกไปจากใบหน้ากันให้วุ่นวาย แต่จะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าเป็นสิวไม่ใช่แค่บอกว่าสุขภาพผิวหน้าเราไม่ดี แต่ยังบอกถึงสุขภาพทั่ว ๆ ไปอีกด้วยเมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบัน Leonard Drake ได้คิดค้นวิธีการวิเคราะห์ผิวลงไปลึกลงไปอีก ด้วยการผสานความรู้ในการดูแลผิวหน้าแบบตะวันตกเข้ากับศาสตร์การอ่านใบหน้าแบบจีน ซึ่งสามารถบอกได้ว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่าง ๆ ของใบหน้าหรือร่างกาย บอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดบ้าง ว่าแล้วก็ไปหยิบกระจกมาส่องหน้าดูซิว่า อวัยวะส่วนใดผิดปกติกันบ้าง โซนที่ตำแหน่งของสิว + อวัยวะที่เกี่ยวข้อง + สาเหตุของอาการที่ผิดปกติ






1. หน้าผากด้านซ้าย.....การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต > มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป
2. หว่างคิ้ว.....ตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) > กินอาหารรสจัดหรือกินอาหารดึกเกินไป
3. หน้าผากด้านขวา .....การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต > มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป
4,10. ใบหูทั้ง 2 ข้าง..... โรคไต ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป > ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป
5,9. แก้มทั้ง 2 ด้าน..... แก้มส่วนบน > ไซนัสและปอด - แก้มส่วนล่าง > เหงือก และฟัน >สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปั?หาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
6, 8. รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง..... ไต > ปั?หาภูมิแพ้ เครื่องสำอางทีใช้อาจไม่เหมาะ หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือผักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
7. จมูก และเหนือริมฝีปาก..... หัวใจ และระบบสืบพันธุ์ หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก > อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่นกำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด
11,13. ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา..... รังไข่ > อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากความสมดุลทางฮอร์โมน หากมีปั?หาการอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปั?หา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน
12. ปลายคาง..... กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก > อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้มีปั?หาในการดูดซึม
14. ลำคอ และหน้าอก..... ความเครียด

สูตรอาหารแก้ท้องผูก

คนที่ท้องผูกง่าย มักพบว่ากินอาหารที่มีกากในน้อย เช่น อาหารจำพวกแป้งขัดขาว และไม่ค่อยได้กินผักหรือผลไม้สด ใยอาหารนั้นมี 2 ชนิด คือชนิดที่ละลายในน้ำ จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล และโคเลสเตอรอลในเลือด และชนิดที่ไม่ละลายในน้ำจะช่วยป้องกันท้องผูกโดยเป็นตัวเพิ่มกากอาหารในลำไส้วิธีป้องกันท้องผูกที่ดีที่สุด เราควรกินอาหารที่มีใยทั้ง 2 ชนิดนี้ตามธรรมชาติให้มาก และหลากหลาย สำหรับผู้เริ่มต้น ก่อนอื่นให้พยายามดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร (8-10 แก้ว) และหันมากินข้าวที่ขัดสีน้อยอย่างข้างกล้องแทนข้าวขัดขาว แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้องให้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะคุ้นกับการกินข้าวกล้องอย่างเดียวในตอนแรก ๆ อาจรู้สึกไม่สบายท้อง มีลมในท้องหรือท้องอืดมาก ส่วนขนมปังก็เลือกชนิดที่ทำจากแป้งไม่ขัดสีหรือขนมปังโฮลวีตแทนขนมปังขาว หรืออาจกินสลับกันไปมานอกจากนี้ยังอาจเติมรำข้าวสำเร็จรูป 2 ช้อนชาลงในโยเกิร์ต มูสลี่ หรือธัญพืชพร้อมบริโภค สำหรับเป็นอาหารมื้อเช้าทุกวันติดต่อกัน 1 สัปดาห์ แล้วเพิ่มรำข้าวเป็น 3 ช้อนชาในสัปดาห์ต่อมา ทั้งนี้ควรกินผลไม้สดให้ได้วันละ 4-5 ส่วน (ผลไม้ 1 ส่วน เช่น กล้วยน้ำว้า 1 ลูก หรือมะละกอ 10 คำ) และผักต่าง ๆ อีกประมาณ 4-6 ทัพพีอย่างไรก็ตามคนแต่ละคนอาจต้องการใยอาหารในปริมาณที่ไม่เท่ากัน พยายามสังเกตว่าร่างกายขงตนเองต้องการใยอาหารมากเท่าไรจึงจะเพียงพอกับความต้องการ ไม่ควรพึ่งใยอาหารจากรำข้าวสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมสารอาหารบางอย่างในระยะยาวได้ ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ายังคงมีอาการท้องผูกเร้อรังหรือปวดท้องแบบเป็น ๆ หาย ๆพึงบริโภคให้มาก - ผลไม้ที่กินได้ทั้งเปลือก เช่น ฝรั่ง รวมทั้งผักใบเขียว ธัญพืช ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพื่อให้ได้ใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ - ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
พึงลด - อาหารที่ทำจากแป้งขัดขาว