สุดยอด 20 อาหารล้างพิษ

คนโบราณและนักโภชนาการมักกล่าวว่า"อาหาร"เป็นยาที่วิเศษที่สุด เพราะเป็นแหล่งรวมของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ใช่ว่าต้องเป็นอาหารที่มีราคาแพงอย่างเป๋าฮื้อ หูฉลาม รังนก หรือของหายากอย่างดีหมีเท่านั้น ถึงจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้ เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าอาหารที่เราหาได้ตามท้องตลาดในชีวิตประจำวันก็มีประโยชน์ในตัวไม่ใช่น้อย
ที่สำคัญอาหารเหล่านี้ยังช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้างเริ่มจาก ลำดับที่ 20 สาหร่าย พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย
ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกาย ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้น และสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก
19. หัวหอม ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบ โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่
18. มะนาว เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้ง ก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย
17. เมล็ดแฟลกซ์ ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น อย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น
16. กระเจี๊ยบ น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้
15. ทับทิม ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้ เนื่องจากในผลทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้างพิษ ลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และลดอาการอักเสบ
โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบ ปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิม เพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
14. พืชตระกูลถั่ว (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
13. ขึ้นฉ่าย ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิต สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย
12. แครอท เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน ( Alpha and Beta-carotene ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาท สายตา ผิวหนัง ที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำ และจากการวิจัยพบว่าสารในแครอตช่วยลดการเกิดมะเร็ง และช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น
11. มะเขือพวง คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภท ผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิ และน้ำพริก สมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วย ใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลักแต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม แกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือ และคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อน มะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย
10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต เพราะเป็นผลไม้รสชาติดีจึงได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
9. กระเทียม จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือ การกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร และฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย
8. บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่งและถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
7. กะหล่ำ เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ พืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี และกะหล่ำปม ผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียจากควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย และช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย
6. บีตรูต ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งเประกอบไปด้วยไฟโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ตับและระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรด-ด่างในเลือดให้สมดุลด้วย
5. อะโวคาโด อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน(Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน และมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
4. ตำลึง ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อยๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบ และมีหมูสับเต็มไปหมด ซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย
3. แอปเปิ้ล ประกอบไปด้วยเพกตินสูง เพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหาร เช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมอง นี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเบิลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้
2. อัลมอนด์ เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมัน แต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่า ไฮโปไกลซีเมีย( Hypoglycemia )จะทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ออก
1. กล้วย มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกิออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

สมองสมอง

ตัวเราเปลี่ยนพร้อมสมองเรา ทุกๆ วัน
วนิษา เรซ : ใครที่เคยคิดว่า เรามีความทุกข์มาก เคยผ่านเรื่องราวแย่ๆ มามากมาย นึกไม่ออกเลยว่าชีวิตนี้จะกลับมามีความสุขได้อย่างไร หรือเราจะมีความสุขเหมือนคนอื่นๆ ได้หรือไม่นั้น บอกได้เลยว่า เป็นคนที่มองโลกได้ผิดความเป็นจริงไปมากรู้ไหมคะว่า สมองของเรามีศักยภาพที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไม่จำกัด...แม้วันนี้ทุกข์ แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆ อีกสิบวันหรือสิบสัปดาห์เราก็กลับมามีความสุขได้ เพราะเส้นใยสมองของเราสร้างใหม่ได้ทุกวัน...เราฝึกนิสัยใหม่ๆ ได้ทุกวัน...ฝึกวิธีคิดใหม่ๆ ได้ทุกวัน...ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดไหนโชคดีเท่ากับมนุษย์อีกแล้วค่ะ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง...และตั้งแต่เรียนรู้เรื่องนี้หนูดีไม่เคยกลัวความทุกข์อีกเลย เพราะรู้แล้วว่าสมองของเรานั้นมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปรตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา...ทุกข์ได้ก็ฝึกให้เลิกทุกข์ได้แล้วจะกลัวกันไปทำไม...ใช่ไหมคะ
Brain การทำงานของสมอง
เมื่อก่อน คนเรามักมีความเชื่อแบบผิดๆ ว่า สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุดถึงแค่อายุเดียว พอผ่านวัยเด็กไปแล้ว สมองก็จะทำงานลดระดับลงเรื่อยๆ พอเข้าวัยชรา สมองก็เสื่อมสภาพ ทำอะไรไม่ค่อยได้ คิดอะไรไม่ค่อยออก เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็ไม่ได้ หนูดีทำงานด้านสมองและการพัฒนาอัจฉริยภาพ ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามา เพราะอยากเรียนรู้วิธีการพัฒนาสมองของตนเอง ทุกคนก็จะมีคำถามแปลกๆ มากมายเกี่ยวกับสมอง แต่คำถามหนึ่งซึ่งหนูดีได้ยินเป็นประจำเลยก็คือ “ดิฉัน/ผม ทำงานหนักมาก ช่วงนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก คิดว่าสมองคงค่อยๆ เสื่อมแล้วล่ะ มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง” ทุกครั้งที่ได้ยิน หนูดีก็จะขำปนเป็นห่วงว่า คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสมองของตนเองอยู่ผิดๆ พอสมควร ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของตัวเองผิดแล้ว บางครั้งคนที่มีลูกส่วนใหญ่ก็ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของลูกผิดอีกด้วยนะคะ เพราะเรามักได้รับรู้เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” หรือ Window of Opportunities กันเป็นประจำว่า ถ้าไม่สอนเด็กเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้แล้ว เด็กจะไม่มีโอกาสเรียนรู้เรื่องนั้นๆ ได้เลยจนวันตาย เช่น ถ้าไม่เรียนภาษาที่สองก่อนอายุสิบสองปีแล้ว เด็กจะไม่มีวันได้สำเนียงอย่างเจ้าของภาษาไปตลอดชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้ว เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” นี้ เป็นเรื่องที่มีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง แต่สมองของเรา ไม่ได้แบ่งแยกเป็นดำกับขาวขนาดนั้นค่ะ เรื่องไหนที่เราพลาดการเรียนรู้ไปในวัยหนึ่ง เราก็สามารถที่จะยังเรียนรู้เรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่า มันอาจเรียนยากขึ้น ก็เท่านั้นเองยกตัวอย่างเช่นผู้ใหญ่บางคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เมื่อโตขึ้น สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ ก็ต้องมานั่งเรียนภาษากันใหม่แทบจะทั้งหมด บางคนต้องเรียนภาษาอังกฤษ บางคนต้องเรียนภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาฝรั่งเศส ก็เห็นเรียนกันได้ในระดับใช้การได้ดีทีเดียว ได้ปริญญาโทปริญญาเอกในประเทศนั้นๆ ติดมือกลับมากันเป็นแถว ซึ่งเมื่อสอบถามดูก็พบว่า การเรียนนั้น ยากกว่าเรียนตอนเด็กๆ แน่นอน เพราะกระบวนการรับข้อมูลของเราไม่อ่อนนุ่มยืดหยุ่นเท่าของเด็ก แต่ก็ไม่ได้เรียนยากเย็นขนาดนั้น... หรือในกรณีการเรียนเต้น เช่น บัลเลต์ ซึ่งมีความเชื่อกันมานานว่า ควรเรียนตั้งแต่เด็กๆ จึงจะดีที่สุด ตัวหนูดีเองก็เรียนบัลเลต์แต่เด็ก และก็คิดว่า มันเป็นประโยชน์มากต่อท่าทางและบุคลิกภาพในวัยผู้ใหญ่ ช่วยให้เราไปเรียนเต้นในด้านอื่นได้ดี เดินเหินสง่า หลังตรง แต่เมื่อได้รับรู้ถึงผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ที่มาเริ่มเรียนเต้นเอาตอนโตๆ แล้ว ก็ต้องทึ่ง เช่น คุณจรินทร์ ยุทธศาสตร์โกศล ก็มาเริ่มเรียนบัลเลต์เอาตอนอายุประมาณห้าสิบปี จนเต้นได้เก่งมากเท่ากับนักบัลเลต์มืออาชีพ มีงานแสดงทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ เป็นที่นับถือเลยทีเดียว ทั้งหมดที่หนูดีชวนคุยมา ก็เพื่อจะบอกว่า สมองของเรานั้นมี “ความยืดหยุ่น” หรือ Brain Plasticity อยู่สูงมาก คำนี้ก็มาจากคำว่า “พลาสติก” นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าสมองของเรามีสภาพคล้ายพลาสติก คือยืดได้ขยายได้ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา...จริงๆ แล้ว สมองของคนเรา น่าทึ่งกว่าที่เราคิดมหาศาล ก็เพราะคำว่า พลาสติกนี่เองค่ะ อย่างที่ใครๆ เคยเชื่อกันว่า สมองหยุดการเรียนรู้ในวัยใดวัยหนึ่ง คำพูดนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองต้องขอออกมาค้านกันแบบหัวชนฝาเลยนะคะ เพราะว่างานวิจัยมันบอกชัดเจนมากว่า สมองของคนเรามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นประจำทุกห้วงลมหายใจเลยค่ะการที่สมองพร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติของชาติพันธุ์หนึ่งๆ นะคะ แต่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์อย่างพวกเรา ซึ่งถ้ามองในเชิงของโลกแล้ว ก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากนกกระสา หรือเสือดาว แต่ความเป็น “พลาสติก” นี้กลับมีส่วนทำให้เราครองโลกได้อย่างทุกวันนี้ บอกได้ว่า ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ลองนึกดูนะคะว่า มนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้และปรับตัวมากมายขนาดไหน เปรียบเทียบกัน ถ้าเราเอานกเขตร้อน ไปปล่อยที่ขั้วโลกเหนือ รับรองว่านกตัวนั้นต้องตายภายในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าลองเอาคนสักคนหนึ่งไปปล่อย รับรองว่า คนคนนั้น จะต้องหาทุกวิถีทางที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการไปล่าสัตว์เอามากิน แล่ขนสัตว์ขั้วโลกเหนือหนาๆ มาห่มตัว มาทำเป็นรองเท้า รวมไปถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ตัวเราสูงที่สุด ว่าไปแล้ว ทักษะในการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์แปลกใหม่ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราแพร่ขยายไปจนทั่วดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ตั้งแต่เส้นศูนย์สูตรไปจนจรดขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ อย่างไม่เคยมีสัตว์โลกชนิดไหนทำได้ขนาดนี้เลยสิ่งที่ทำให้เราทำได้แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ อย่างชัดเจน ก็คือ “ความยืดหยุ่น” ของสมองเรานี่เอง แม้ในโลกปัจจุบันนี้ ที่เราเลิกอาศัยอยู่ในถ้ำไปนานหลายพันปีแล้ว แต่สมองของเราก็ยังทำงานใกล้เคียงเดิมทุกประการ ในเวลาที่เราอยู่ในถ้ำ สิ่งที่จำเป็นต่อการรอดชีวิตที่สุด ก็คือการประเมินสถานการณ์รอบตัวด้วยความรวดเร็วแม่นยำ และการปรับพฤติกรรมตัวเราให้สอดคล้องกับสถานการณ์นั้น ในยุคปัจจุบันที่เราอยู่อาศัยเป็นสังคมเมืองมานานแล้ว แต่ในเชิงสมองถือว่า ยังไม่นานเลย ดังนั้น เราจึงยังเป็นเจ้าของสมองยุคเก่าอยู่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในยุคนี้ เราต้องเข้าโรงเรียน ต้องหิ้วคอมพิวเตอร์ไปทำงาน ติดต่อลูกค้าต่างประเทศ จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ให้ส่งตรงเวลา และอื่นๆ อีกมากมาย ที่เราไม่จำเป็นต้องทำเลยเวลาอยู่ในถ้ำ แต่สมองของเราก็ยังคงถูกสั่งการให้ประเมินสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วแม่นยำตามเดิม นี่เอง จึงเป็นที่มาของคำว่า “การเรียนรู้เกิดตลอดชีวิต” เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองมนุษย์ถูกสร้างมาให้เรียนรู้และปรับสภาพสมองตลอดชีวิต ไม่มีวันไหนเลยที่สมองจะหยุดการเปลี่ยนแปลงปรับตัว และยิ่งสมองเปลี่ยนแปลงบ่อย ยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ง่ายขึ้น การสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ ง่ายมาก แปลได้ง่ายๆ ว่า ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไร เรายิ่งเรียนรู้ได้มากขึ้นอีกเท่านั้น เพราะสมองไม่เหมือนเงิน ซึ่งยิ่งใช้ยิ่งหมดไป แต่เส้นใยสมอง ยิ่งใช้มากยิ่งมีมากขึ้น ไม่จำกัดดังนั้น กลับมาที่คำถามยอดฮิต ว่า คนอายุมากขึ้น สมองทำงานลดประสิทธิภาพลงหรือเปล่านั้น ตอบได้เลยค่ะว่า ไม่มีทางแน่นอน ถ้าเราฝึกใช้สมองของเราเป็นประจำ คิดอะไรใหม่ๆ เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่เรื่อย เท่ากับเราช่วยชะลออายุสมองให้เป็นเด็กได้ตลอดกาล เพราะสมองคนแก่ที่ชอบเรียนรู้ กระตือรือร้นนั้นมีลักษณะคล้ายสมองเด็ก แต่สมองเด็กวัยรุ่นที่นอนดึก ดื่มเหล้า และใช้ชีวิตด้วยความเครียดกลับมีลักษณะคล้ายสมองคนแก่อย่างไม่น่าเชื่อ อายุสมองจึงอยู่ที่เราใช้การเขาอย่างไร มากกว่าอายุที่แปรเปลี่ยนไปตามปฏิทิน...ความทุกข์ความสุขเหมือนกันค่ะ เราสามารถฝึกได้เหมือนกับทักษะอื่นๆ เช่นกัน รู้อย่างนี้แล้ว...วันนี้ลองฝึกทำอะไรที่มีความสุขดูนะคะ แล้วภายในเวลาไม่นานสมองเราจะสร้างเส้นใยใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสุขให้เราเอง



เรื่อง : วนิษา เรซ