เรื่องมือถือ
1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก> > ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย> > แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112> > แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่ม> > ก็ยังกดเบอร์ นี้ได้ ทีนี้เราก็รอดตายแล้ว> >
2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ... สำหรับรถที่ใช้ Remote Key> > ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน> > ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ> > (เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ)> > เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขาให้กดปุ่ม unlock> > บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือ> > ให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต> > (คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม)> > ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง> > ระยะทางไม่มีปัญหาแม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม> >
3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด *3370# สำหรับมือถือ Nokia> > ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับแต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด> > *3370# มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า> > เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรอง> > นี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป>
4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป> > ในกรณีนี้เราต้องใช้หมายเลข serial number> > ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15-17 หน่วย> > การที่จะทราบหมายเลขนี้กด *#06#> > แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล> > จดไวแล้วเก็บไว้ให้ดี....ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น> > ให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป> > เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย> > ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card> > มันก็จะยังใช้ไม่ได้อยู่ดี> > แบบนี้สะใจดีค่ะโดยเฉพาะพวกที่ชอบโขมยมือถือ
สุดยอด 20 อาหารล้างพิษ
ที่สำคัญอาหารเหล่านี้ยังช่วยล้างพิษให้แก่อวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ตับ ลำไส้ ไต ผิวหนัง ช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษต่างๆที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลง ปรุงรส เป็นต้น คราวนี้ลองมาดูกันว่าอาหารชนิดใดสามารถช่วยล้างพิษให้คุณได้บ้างเริ่มจาก ลำดับที่ 20 สาหร่าย พืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกาย
สมองสมอง
วนิษา เรซ : ใครที่เคยคิดว่า เรามีความทุกข์มาก เคยผ่านเรื่องราวแย่ๆ มามากมาย นึกไม่ออกเลยว่าชีวิตนี้จะกลับมามีความสุขได้อย่างไร หรือเราจะมีความสุขเหมือนคนอื่นๆ ได้หรือไม่นั้น บอกได้เลยว่า เป็นคนที่มองโลกได้ผิดความเป็นจริงไปมากรู้ไหมคะว่า สมองของเรามีศักยภาพที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไม่จำกัด...แม้วันนี้ทุกข์ แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อยๆ อีกสิบวันหรือสิบสัปดาห์เราก็กลับมามีความสุขได้ เพราะเส้นใยสมองของเราสร้างใหม่ได้ทุกวัน...เราฝึกนิสัยใหม่ๆ ได้ทุกวัน...ฝึกวิธีคิดใหม่ๆ ได้ทุกวัน...ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดไหนโชคดีเท่ากับมนุษย์อีกแล้วค่ะ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง...และตั้งแต่เรียนรู้เรื่องนี้หนูดีไม่เคยกลัวความทุกข์อีกเลย เพราะรู้แล้วว่าสมองของเรานั้นมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปรตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา...ทุกข์ได้ก็ฝึกให้เลิกทุกข์ได้แล้วจะกลัวกันไปทำไม...ใช่ไหมคะ
Brain การทำงานของสมอง
เมื่อก่อน คนเรามักมีความเชื่อแบบผิดๆ ว่า สมองเรียนรู้ได้ดีที่สุดถึงแค่อายุเดียว พอผ่านวัยเด็กไปแล้ว สมองก็จะทำงานลดระดับลงเรื่อยๆ พอเข้าวัยชรา สมองก็เสื่อมสภาพ ทำอะไรไม่ค่อยได้ คิดอะไรไม่ค่อยออก เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็ไม่ได้ หนูดีทำงานด้านสมองและการพัฒนาอัจฉริยภาพ ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามา เพราะอยากเรียนรู้วิธีการพัฒนาสมองของตนเอง ทุกคนก็จะมีคำถามแปลกๆ มากมายเกี่ยวกับสมอง แต่คำถามหนึ่งซึ่งหนูดีได้ยินเป็นประจำเลยก็คือ “ดิฉัน/ผม ทำงานหนักมาก ช่วงนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก คิดว่าสมองคงค่อยๆ เสื่อมแล้วล่ะ มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง” ทุกครั้งที่ได้ยิน หนูดีก็จะขำปนเป็นห่วงว่า คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสมองของตนเองอยู่ผิดๆ พอสมควร ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของตัวเองผิดแล้ว บางครั้งคนที่มีลูกส่วนใหญ่ก็ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของลูกผิดอีกด้วยนะคะ เพราะเรามักได้รับรู้เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” หรือ Window of Opportunities กันเป็นประจำว่า ถ้าไม่สอนเด็กเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้แล้ว เด็กจะไม่มีโอกาสเรียนรู้เรื่องนั้นๆ ได้เลยจนวันตาย เช่น ถ้าไม่เรียนภาษาที่สองก่อนอายุสิบสองปีแล้ว เด็กจะไม่มีวันได้สำเนียงอย่างเจ้าของภาษาไปตลอดชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้ว เรื่อง “หน้าต่างการเรียนรู้” นี้ เป็นเรื่องที่มีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง แต่สมองของเรา ไม่ได้แบ่งแยกเป็นดำกับขาวขนาดนั้นค่ะ เรื่องไหนที่เราพลาดการเรียนรู้ไปในวัยหนึ่ง เราก็สามารถที่จะยังเรียนรู้เรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่า มันอาจเรียนยากขึ้น ก็เท่านั้นเองยกตัวอย่างเช่นผู้ใหญ่บางคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เมื่อโตขึ้น สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ ก็ต้องมานั่งเรียนภาษากันใหม่แทบจะทั้งหมด บางคนต้องเรียนภาษาอังกฤษ บางคนต้องเรียนภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาฝรั่งเศส ก็เห็นเรียนกันได้ในระดับใช้การได้ดีทีเดียว ได้ปริญญาโทปริญญาเอกในประเทศนั้นๆ ติดมือกลับมากันเป็นแถว ซึ่งเมื่อสอบถามดูก็พบว่า การเรียนนั้น ยากกว่าเรียนตอนเด็กๆ แน่นอน เพราะกระบวนการรับข้อมูลของเราไม่อ่อนนุ่มยืดหยุ่นเท่าของเด็ก แต่ก็ไม่ได้เรียนยากเย็นขนาดนั้น... หรือในกรณีการเรียนเต้น เช่น บัลเลต์ ซึ่งมีความเชื่อกันมานานว่า ควรเรียนตั้งแต่เด็กๆ จึงจะดีที่สุด ตัวหนูดีเองก็เรียนบัลเลต์แต่เด็ก และก็คิดว่า มันเป็นประโยชน์มากต่อท่าทางและบุคลิกภาพในวัยผู้ใหญ่ ช่วยให้เราไปเรียนเต้นในด้านอื่นได้ดี เดินเหินสง่า หลังตรง แต่เมื่อได้รับรู้ถึงผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ที่มาเริ่มเรียนเต้นเอาตอนโตๆ แล้ว ก็ต้องทึ่ง เช่น คุณจรินทร์ ยุทธศาสตร์โกศล ก็มาเริ่มเรียนบัลเลต์เอาตอนอายุประมาณห้าสิบปี จนเต้นได้เก่งมากเท่ากับนักบัลเลต์มืออาชีพ มีงานแสดงทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ เป็นที่นับถือเลยทีเดียว ทั้งหมดที่หนูดีชวนคุยมา ก็เพื่อจะบอกว่า สมองของเรานั้นมี “ความยืดหยุ่น” หรือ Brain Plasticity อยู่สูงมาก คำนี้ก็มาจากคำว่า “พลาสติก” นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าสมองของเรามีสภาพคล้ายพลาสติก คือยืดได้ขยายได้ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา...จริงๆ แล้ว สมองของคนเรา น่าทึ่งกว่าที่เราคิดมหาศาล ก็เพราะคำว่า พลาสติกนี่เองค่ะ อย่างที่ใครๆ เคยเชื่อกันว่า สมองหยุดการเรียนรู้ในวัยใดวัยหนึ่ง คำพูดนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองต้องขอออกมาค้านกันแบบหัวชนฝาเลยนะคะ เพราะว่างานวิจัยมันบอกชัดเจนมากว่า สมองของคนเรามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นประจำทุกห้วงลมหายใจเลยค่ะการที่สมองพร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติของชาติพันธุ์หนึ่งๆ นะคะ แต่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์อย่างพวกเรา ซึ่งถ้ามองในเชิงของโลกแล้ว ก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากนกกระสา หรือเสือดาว แต่ความเป็น “พลาสติก” นี้กลับมีส่วนทำให้เราครองโลกได้อย่างทุกวันนี้ บอกได้ว่า ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ลองนึกดูนะคะว่า มนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้และปรับตัวมากมายขนาดไหน เปรียบเทียบกัน ถ้าเราเอานกเขตร้อน ไปปล่อยที่ขั้วโลกเหนือ รับรองว่านกตัวนั้นต้องตายภายในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าลองเอาคนสักคนหนึ่งไปปล่อย รับรองว่า คนคนนั้น จะต้องหาทุกวิถีทางที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการไปล่าสัตว์เอามากิน แล่ขนสัตว์ขั้วโลกเหนือหนาๆ มาห่มตัว มาทำเป็นรองเท้า รวมไปถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ตัวเราสูงที่สุด ว่าไปแล้ว ทักษะในการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์แปลกใหม่ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เราแพร่ขยายไปจนทั่วดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ตั้งแต่เส้นศูนย์สูตรไปจนจรดขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ อย่างไม่เคยมีสัตว์โลกชนิดไหนทำได้ขนาดนี้เลยสิ่งที่ทำให้เราทำได้แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ อย่างชัดเจน ก็คือ “ความยืดหยุ่น” ของสมองเรานี่เอง แม้ในโลกปัจจุบันนี้ ที่เราเลิกอาศัยอยู่ในถ้ำไปนานหลายพันปีแล้ว แต่สมองของเราก็ยังทำงานใกล้เคียงเดิมทุกประการ ในเวลาที่เราอยู่ในถ้ำ สิ่งที่จำเป็นต่อการรอดชีวิตที่สุด ก็คือการประเมินสถานการณ์รอบตัวด้วยความรวดเร็วแม่นยำ และการปรับพฤติกรรมตัวเราให้สอดคล้องกับสถานการณ์นั้น ในยุคปัจจุบันที่เราอยู่อาศัยเป็นสังคมเมืองมานานแล้ว แต่ในเชิงสมองถือว่า ยังไม่นานเลย ดังนั้น เราจึงยังเป็นเจ้าของสมองยุคเก่าอยู่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในยุคนี้ เราต้องเข้าโรงเรียน ต้องหิ้วคอมพิวเตอร์ไปทำงาน ติดต่อลูกค้าต่างประเทศ จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ให้ส่งตรงเวลา และอื่นๆ อีกมากมาย ที่เราไม่จำเป็นต้องทำเลยเวลาอยู่ในถ้ำ แต่สมองของเราก็ยังคงถูกสั่งการให้ประเมินสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วแม่นยำตามเดิม นี่เอง จึงเป็นที่มาของคำว่า “การเรียนรู้เกิดตลอดชีวิต” เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองมนุษย์ถูกสร้างมาให้เรียนรู้และปรับสภาพสมองตลอดชีวิต ไม่มีวันไหนเลยที่สมองจะหยุดการเปลี่ยนแปลงปรับตัว และยิ่งสมองเปลี่ยนแปลงบ่อย ยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ง่ายขึ้น การสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ ง่ายมาก แปลได้ง่ายๆ ว่า ยิ่งเราเรียนรู้มากเท่าไร เรายิ่งเรียนรู้ได้มากขึ้นอีกเท่านั้น เพราะสมองไม่เหมือนเงิน ซึ่งยิ่งใช้ยิ่งหมดไป แต่เส้นใยสมอง ยิ่งใช้มากยิ่งมีมากขึ้น ไม่จำกัดดังนั้น กลับมาที่คำถามยอดฮิต ว่า คนอายุมากขึ้น สมองทำงานลดประสิทธิภาพลงหรือเปล่านั้น ตอบได้เลยค่ะว่า ไม่มีทางแน่นอน ถ้าเราฝึกใช้สมองของเราเป็นประจำ คิดอะไรใหม่ๆ เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่เรื่อย เท่ากับเราช่วยชะลออายุสมองให้เป็นเด็กได้ตลอดกาล เพราะสมองคนแก่ที่ชอบเรียนรู้ กระตือรือร้นนั้นมีลักษณะคล้ายสมองเด็ก แต่สมองเด็กวัยรุ่นที่นอนดึก ดื่มเหล้า และใช้ชีวิตด้วยความเครียดกลับมีลักษณะคล้ายสมองคนแก่อย่างไม่น่าเชื่อ อายุสมองจึงอยู่ที่เราใช้การเขาอย่างไร มากกว่าอายุที่แปรเปลี่ยนไปตามปฏิทิน...ความทุกข์ความสุขเหมือนกันค่ะ เราสามารถฝึกได้เหมือนกับทักษะอื่นๆ เช่นกัน รู้อย่างนี้แล้ว...วันนี้ลองฝึกทำอะไรที่มีความสุขดูนะคะ แล้วภายในเวลาไม่นานสมองเราจะสร้างเส้นใยใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสุขให้เราเอง
กรุ๊ปเลือดกับอาหารฯ
กรุ๊ป O ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย
ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้ นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ
รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ...
"อึ" กับสุขภาพ
เสริมดวงให้ชีวิตและที่อยู่
หิ้งพระ หรือหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเทพต่างๆ หรือ ร.5, ในหลวงของเรา เมื่อตั้งหิ้งบูชาแล้วจะต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หมั่นเปลี่ยนดอกไม้ พวงมาลัยถวายน้ำสะอาด ถ้าปล่อยให้หิ้งสกปรก มีแต่ฝุ่นจับเต็มไปหมด บ้านนั้นจะมีแต่ความเสื่อมถอย โชคลาภหดหาย ยากที่จะเจริญรุ่งเรือง
ในบ้านเรือนควรมีไข่ และมีส้มไว้ในตะกร้าเสมออย่าให้ขาด เพื่อเรียกความสมบูรณ์พูนสุขเข้าบ้าน ทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุขตลอดไป ไข่และส้มเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความโชค
สุนัข แมวจรจัด
ดูแลปัดกวาดเช็ดถูและจัดข้าวของเครื่องใช้ในครัวให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ครัวสกปรก เพราะครัวเป็นขุมพลังของบ้าน บ้านที่ปล่อยให้ครัวสกปรกจะอับโชค เงินทองหามาได้ก็ต้องจ่ายออกไป เจริญรุ่งเรืองช้านัก
อย่าให้ของขวัญคนรัก หรือเพื่อนสนิทเป็นผ้าเช็ดหน้า เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดี ถือเป็นของขวัญอับโชค มอบให้กันแล้วจะมีเรื่องต้องพลัดพรากจากกัน หรือมีเรื่องต้องเมินหมางห่างเหินกันไป
แอปเปิ้ลกับความงาม
ส่วนผสม
-แอปเปิ้ลแดง ไม่ต้องปอกเปลือก
-นมสด
ขอบคุณ : mail FW
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยแอปเปิ้ล
ผักผลไม้ที่ผู้หญิงควรกิน
1. ลูกพรุน ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งโปแทตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ชั้นดี ที่สำคัญลูกพรุนยังช่วยให้สาวๆ มีเลือดฝาดดูเป็นสาวสดใส ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่มีอายุ 25 ขึ้นไปร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันจะเริ่มสะสมตามที่ต่างๆ ผิวหน้าก็อาจจะหมองคล้ำลง ธาตุเหล็กที่มีในลูกพรุนจะช่วยดูแลเรื่องนี้ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย
2. ถั่ว เพียบพร้อมไปด้วยโปรตีน เหล็กและวิตามินปีด้วยนะคะ มีนักวิทยาศาสตร์เค้าค้นพบว่าเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนดที่ละลายน้ำ (ซึ่งมีมากในถั่วค่ะ) ไฟเบอร์จะเคลือบกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนาน ความอยากอาหารจะลดลง แถมนอกจากไฟเบอร์แล้วในถั่วยังมีสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกด้วย นี่ล่ะค่ะจึงทำให้ผู้หญิงอย่างเราหุ่นดีโดยไม่ขาดสารอาหาร
3. บรอคโคลี มีซีลีเนียมมากซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลแถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
15 นาทีชีวิตมีสุข
การดูแลสุขภาพอาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อและยุ่งยาก แต่ที่จริงช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ แค่ 5 -15 นาที ก็ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นได้แบบง่ายๆ เป็นของขวัญวันต้นปีที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง โดยแบ่งเวลาก่อนหรือหลังกิจกรรมที่คุณทำอยู่แล้วประจำวัน แล้วเพิ่มรายละเอียดที่เราแนะนำเข้าไปอีกนิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ
ดื่มน้ำ 1 นาที ตอนตื่นนอน เมื่อตื่นนอนแล้วควรดื่มน้ำ1-2 แก้ว เพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะ และระบบขับถ่าย ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น หากกลัวลืมให้วางขวดและแก้วน้ำไว้ที่หัวเตียงก่อนนอน เพื่อที่จะดื่มได้ทันทีที่ตื่นขึ้น
หัวเราะ 15 นาที ก่อนอาหารเย็น ผลัดกันเล่าเรื่องตลกกับคนในครอบครัวคนละ 1 เรื่องทุกวัน และหัวเราะเต็มเสียงให้ลมผ่านปาก ลำคอ ปอด กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ - เล็ก จนรู้สึกว่าอวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหว หรือจนรู้สึกเกร็งหน้าท้อง เพื่อให้ร่างกายได้ออกซิเจนมากขึ้น ฟอกปอด ป้องกันการเวียนหัว อ่อนเพลีย แถมยังเพิ่มความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย
เดินเพิ่มขึ้น 15 นาที ก่อนเริ่มงาน เปลี่ยนจากใช้ลิฟท์เป็นเดินขึ้น-ลงบันไดแทน หรือขยับไปจอดรถไกลขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้เดินไกลขึ้น โดยเดินให้เร็วขึ้นกว่าปกติ และเพิ่มระยะทางการเดินขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน หากมีเวลาอาจไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รับอากาศบริสุทธิ์ด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับคนทำงานที่ต้องนั่งโต๊ะทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายได้ เคลื่อนไหวและออกแรงบ้าง
กะพริบตาทุก 15 นาที เมื่ออยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ กะพริบตาเพิ่มขึ้น 1-2 ครั้ง ทุก 15 นาที และเมื่อเลิกใช้คอมพิวเตอร์ให้กระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยให้ตาไม่แห้ง เกินไป
ล้างมือ 1 นาที ก่อนเข้าห้องน้ำ มีงานวิจัยพบว่าคนเข้าห้องน้ำโดยไม่ล้างมือมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากว่าคนที่ล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำ แม้ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่การล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำก็ช่วยให้มือคุณสะอาดจากเชื้อโรคหากต้องสัมผัส กับจุดซ่อนเร้นและไม่ก่อโรคให้ตัวเองแบบไม่ตั้งใจ ที่สำคัญออกจากห้องน้ำแล้วอย่าลืมล้างมืออีกครั้ง
หยุดกิน 5 นาที ก่อนอิ่มจริง ทุกครั้งเวลากินอาหารมื้อหลัก ให้หยุดกินก่อนอิ่มจริง 5 นาที และควรกินอาหารแค่ "เกือบอิ่ม" เท่านั้น กระเพาะอาหารจะได้ไม่ทำงานหนักเกินไป
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/3677.html
สีโฉลกรถตามวันเกิด
- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพุธ (กลางวัน) ห้ามใช้ จ ฉ ช ซ ฌ ญ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 3 และเลข 8- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันอังคาร เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน) เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพุธ (กลางวัน)
วิธีแก้เคล็ด วิธีแก้เคล็ดสำหรับผู้ที่ใช้สีรถที่เป็นกาลกิณีวันเกิด เช่น คนเกิดวันอาทิตย์ ใช้รถสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน เป็นต้น ให้หาสติกเกอร์ "สีที่เป็นศรี" ของวันเกิดของเจ้าของรถ เช่น คนเกิดวันอาทิตย์ มีสีเขียว เป็นศรี เป็นต้น เมื่อได้สีนั้นมาแล้ว ให้ตัดสติกเกอร์ให้ได้ขนาด 2x2 นิ้ว จำนวน 4 แผ่น แล้วเอาไปติดตำแหน่งของรถต่อไปนี้
เช็คโรคจากอาการปวดฯ
10ผลไม้ทำให้อ้วน
ผลไม้ชนิดแรกที่กินแล้วอ้วนสุดสุด คือ
กล้วยน้ำว้า
ขนุน
กล้วยหอม
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
ลำไยกะโหลกเขียว
ลองกอง
เงาะ
ลางสาด
4สูตรหน้าใส
1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า ต้องล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลยังไม่ปลอกเปลือกสักครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก
พิฆาตไขมันฯ
ประโยชน์ของเกลือ
ขมิ้นลดริ้วรอยใบหน้า
กินแล้วอ่อนเยาว์
ทราบหรือไม่ว่า รับประทานอะไรแล้วอ่อนเยาว์ วันนี้เรามีมาฝาก
1.หยุดผมร่วง รับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี มีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี การรับประทาน กล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน
2. ลดผิวมัน รับประทานธัญญาหารทุกเช้า ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน
3. หยุดการลอกของผิวหนัง รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักสดก็ได้
4. ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก รับประทานมะม่วง มีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้าง ผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียน
5. ชะลอผมหงอก รับประทานถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร ถั่วลิสงมี วิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย
6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี รับประทานฝรั่ง หรือน้ำฝรั่งซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี เพราะจะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับ ผลไม้ประจำวันก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีเช่นกัน
7. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความ ต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษ รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากแลดูอ่อนเยาว์ ก็ควรเลือกรับประทานให้เหมาะสม.
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ลดน้ำหนักด้วยวิธีไหน?
1.การออกกำลังกายช่วยเสริมการทำงานในระบบเมตตาบอลิซึ่มของคุณการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการออกกำลังกาย จะช่วยเปลี่ยนแปลงพลังงานหรือเพิ่มระสิทธิภาพในการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของคุณให้สมดุล
2.หลักการเผาผลาญพลังงานตามสูตรแล้ว ไขมัน1ปอนด์ เท่ากับ 3,500 แคลลอรี่ ซึ่งตามปกติร่างกายของคุณสามารถกำจัดแคลลอรี่ได้วันละ 500 แคล ดังนั้นหากคุณต้องการลดไขมันในร่างกาย 1 ปอนด์ หมายความว่าคุณต้องใช้เวลา 1 สัปดาห์ด้วยกัน ดังนั้นเพื่อย่นเวลาการเผาผลาญ จะดีกว่ามั้ย ถ้าคุณจะช่วยร่างกายกำจัดแคลลอรี่ด้วยการออกกำลังกายไปควบคู่กัน ที่สำคัญการควบคุมอาหารยังทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพลดลง
3.การทำกิจกรรมหนึ่งจะส่งผลให้เกิดการทำกิจกรรมที่มากขึ้นไปอีกจากผลการวิจัยระบุว่า คนที่ออกกำลังกายจะทำให้คนนั้นกระฉับกระเฉงไปตลอดทั้งวัน
4. การออกกำลังกายช่วยสร้างกล้ามเนื้อคุณสามารถเพิ่มจำนวนและขนาดของกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกาย ทั้งนี้บางครั้งเรายังได้รับไฟเบอร์จากอาหารเพื่อใช้ในการสร้างกล้ามเนื้อ และเพื่อที่จะให้ไฟเบอร์ในกล้ามเนื้อได้รับการหล่อเลี้ยง ร่างกายจะไปดึงแคลลอรี่จากไขมันที้เก็บไว้ในร่างกาย ดังนั้นถ้าคุณต้องการให้ร่างกายเผาผลาญไขมันมากขึ้น คุณก็ต้องใช้พลังงานมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ แคลลอรี่ในร่างกายของคุณก็จะถูกเผาผลาญมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าน้ำหนักตัวของคุณจะลดลงได้เร็วขึ้น
ผลไม้ล้างพิษฯ
ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทาน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ และวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ
10วิธีง่ายๆลดความโกรธ
1. หลีกเลี่ยง "การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้ามวิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่างหาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน - กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่าไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้
2. ระบาย นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง
3. กิน มีใครจะปฏิเสธบ้างว่าการกินคือ วิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน
4. ดื่ม โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน
5. หัวเราะ มีหลายอย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)
6. ร้องไห้ การร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไงหรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ
7. ร้องเพลง เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป. 1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง
8. พักผ่อน หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน
9. นอนหลับ เคยสังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือ สัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน
10. ให้อภัย ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊กพระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือ การปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัยเลยละ
มาจาก : Mail fw
อารมร์ เริม ความเครียด
ขณะท้องว่างไม่ควรทาน!
ไฟเบอร์(Fiber)
เส้นใยอาหาร (Fiber) คืออะไร
แหล่งอาหารที่จะได้รับไฟเบอร์
เราสามารถได้จากพวกธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ำผลไม้) ผลส้มแขก เมล็ดแมงลัก
1. ไฟเบอร์ ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นและมีเวลาอยู่ในระบบทางเดินอาหารสั้นลง จึงช่วยลดการดูดซึม
3. จากหลาย ๆ การทดลองพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี ไฟเบอร์ อย่างน้อย 2 กรัมขึ้นไปช่วยให้น้ำหนักลดลงได้
แต่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ไฟเบอร์ ไม่ใช่ยาระบาย ที่จะช่วยระบายของเสีย ดังนั้นหากท่านต้องการระบายโดยไม่ได้ต้องการคุณประโยชน์อื่นๆ ของ ไฟเบอร์ ก็น่าจะใช้ยาระบายน่าจะเหมาะสมกว่า
จากหลายๆการศึกษาวิจัยพบว่า ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้เท่านั้นที่สามารถช่วยลดปริมาณ คลอเลสเทอรอล ได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะรับประทานแทนยารักษาได้ และยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดเช่นกัน อย่างไรก็ตามไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจ
ผลต่อโรค เบาหวาน
นอกจากนี้ยังมีงานวิจับพบอีกว่า ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้จะช่วยในด้านการลดระดับน้ำตาลในเลือด จนสามารถช่วยลดการใช้ปริมาณอินซูลินในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และยังค้นพบอีกว่าคนที่รับประทาน ไฟเบอร์มากๆ จะช่วยลดโอกาสการเป็น เบาหวาน
ผลต่ออาการท้องผูก-มะเร็งลำไส้
การรับประทาน ไฟเบอร์ ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ช่วยให้การเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ ลดโอกาสดููดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญมันช่วยลดโอกาสในการเกิดโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเช่นกัน
ในรายที่เป็นโรคขาดสารอาหารหรือวิตามิน หรืออยู่ในระหว่างรับประทานยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน
ที่มา
http://www.healthcorners.com
อาหาร- ลำไส้ -สิว
5.รับประทานผักผลไม้สด ผักสด - - ยกเว้นข้าวโพด ซึ่งอาจเป็นอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ อาหารที่ดีต่อโปรแกรมทำความสะอาดลำไส้คือ บร๊อคโคลี่, ดอกกะหล่ำ, หอมใหญ่, กระเทียม, ผักกาดหัว, ผักสีเขียวและสีแดง อาหารที่รับประทานนั้นควรเป็นผักและผลไม้ในสัดส่วนที่ 40% ของมื้ออาหารข้าว - - ข้าวนั้นย่อยได้ง่าย เลือกเป็นข้าวกล้องจะดีกว่าข้าวขาว ถั่ว - - ถั่วเขียวและถั่วเหลืองนั้นย่อยได้ง่ายและใช้เวลาน้อยกว่า ถั่วแดงและถั่วอื่น ๆ ผลไม้เปลือกแข็ง - - ถั่วเปลือกแข็งแบบไม่เค็ม ปลา - - ต้ม, ปิ้ง, นึ่ง เพิ่มเติม - - น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์, น้ำมันเมล็ดองุ่น ชาสมุนไพร - - ชาที่ไม่มีคาเฟอีน ยกเว้นชาเขียว น้ำเปล่า, น้ำมะนาว, น้ำผลไม้, น้ำนมข้าว
อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยง น้ำตาล - - น้ำตาลที่ผ่านกรรมวิธี และเครื่องปรุงที่ผสมน้ำตาลผ่านกรรมวิธีเช่นซูโครส, เด็กซ์โตรส, คอร์นไซรัป, น้ำตาลทรายแดง
และหลีกเลี่ยงสารให้ความหวาน ผลิตภัณฑ์จากนม - - นม, ไข่, เนย และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากนม ข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์ที่ผสมข้าวสาลี ข้าวโพด - - ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวโพด ยีสต์ คาเฟอีน - - กาแฟ, ทั้งแบบปกติและแบบปราศจากคาเฟอีน, ชาดำ, ชาเขียว และเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เนื้อแดง – แอลกอฮอล์ – สารปรุงแต่งอาหาร, สารกันเสีย – ช๊อคโกแลต - อาหารที่มีไขมันสูง
6.น้ำซุปผัก มีส่วนประกอบของแร่ธาติต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการทำความสะอาดเนื้อเยื่อ ให้ดื่มวันละ 2 ถ้วย
7. น้ำดื่ม การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อรับประทาน psyllium, activated charcoal หรือโคลน bentonite ให้ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-12 แก้ว ในการคำนวณปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไปต่อวันนั้น อย่าลืมคำนวณชาสมุนไพร และน้ำซุปผักเข้าไปด้วย
8.การอาบน้ำร้อนสลับเย็น เป็นการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด, เพิ่มการขับสารพิษ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยนำสารอาหาร, ออกซิเจน และและเซลล์คุ้มกัน เพื่อขจัดเนื้อเยื่อที่เกิดจากความเครียดออกไป โดยการเผาผลาญขยะเหล่านี้ เริ่มจากการอาบน้ำร้อนเป็นเวลา 3 นาที แล้วตามด้วยน้ำเย็นไม่เกินหนึ่งนาที เริ่มกระบวนการนี้ทั้งหมดอีกหนึ่งรอบ และทุกครั้งที่จบให้จบด้วยน้ำเย็น (เช่น น้ำร้อน 3 นาที – น้ำเย็น 1 นาที – น้ำร้อน 3 นาที – น้ำเย็น 1 นาที)
คลิกที่นี่: เพื่ออ่านต่อ 1-4 จ้ะ
(อ๋อ.ที่ไม่ได้เอามาใส่ไว้ในบล็อคนี้เพราะบทความมันยาว และเป็นชื่อศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย)
copy จาก เว็บ sanook.com
Reference- altmedicine.about.com- steadyhealth.comแปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com
Water
2. บีบน้ำมะนาวใส่นิดๆ หากคุณรู้สึกยี้กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่มเพื่อช่วยเพิ่ม รสชาติให้กับน้ำ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่มักใช้วิธีนี้ พบว่าได้ผล และ สำหรับใครที่ต้องออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สะดวก เพราะที่ผ่านมาผู้เขียนก็มักขอให้พนักงานเสิรฟนำมะนาวชิ้นบางๆมาเสริฟให้ พร้อมน้ำเปล่า ซึ่งแม้จะดูเป็นการเรื่องมากไปซักนิด แต่ภัตตาคารส่วนใหญ่ก็ยินดีจะเพิ่มบริการนี้ให้
Stay looking young
คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้!! อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ... สดใสดูอ่อนกว่าวัย stay looking youngเพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย
1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู
2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก
3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆแล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว
4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ
5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค
6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้
7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย
8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเ***่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้วยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว stay feeling young
10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรียล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว
11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน
12. ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ
13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง
14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า
15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย
16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย
17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้
18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบาแข็งแรงได้ใจ stay healthy!
จากการศึกษาพบว่า อะไรก็ตามที่คุณรับประทานเข้าไป มีโอกาสที่จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดีขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ เพื่อให้อัตราการเสี่ยงของคุณลดน้อยลง ลองอาหารพวกนี้ดูสิ
19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี
20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)
21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม
22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ
23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา
24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว
25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง
26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ
27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้นสามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี
28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง
29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว
ที่มา mail fwd (copy จากเว็บคู่สร้างคู่สมค่ะ)
เพิ่มพลังสมองยามเช้า
อาหารเช้าสำคัญต่อสมองมากกว่ามื้อไหนๆ ทีมนักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่าทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย
ใครนอนไม่หลับฯ
หรี่ไฟกลางคืนและปิดไฟก่อนนอน สำหรับคนที่นอนหลับยากควรลดแสงให้มืดลงตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน กลางคืนอย่าเปิดไฟจ้า ควรหรี่ไฟรอบๆ รวมทั้งไฟหน้าจอทีวี, จอคอมพิวเตอร์ (ถ้าใช้) ให้มืดก่อนเวลานอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จัดห้องนอนให้มืด ปิดไฟนอน หาผ้าม่านหรือแผ่นปิดตามาบังแสงไฟเท่าที่จะทำได้ ถ้าตื่นก่อนเวลา… พยายามอย่าเปิดไฟจ้า เพื่อไม่ให้นาฬิกาเวลาของร่างกายสับสน รอจนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจึงเปิดไฟเต็มที่ และหลังพระอาทิตย์ขึ้น… อย่าลืมออกไปรับแดดอ่อนตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อให้นาฬิกาเวลารับรู้เวลากลางวันได้ดี